skip to main |
skip to sidebar
1.สับประรด
ชื่อวิทยาศาสตร์
Ananas comosus (Linn) Merr.
วงศ์
Bromeliaceae
ชื่อสามัญ
Pineapple (อังกฤษ), สัปปะรด (ภาคกลาง),
มะขะนัด (ภาคเหนือ), หมากนัด (ภาคอีสาน),
ยานัด (ภาคใต้)
สับประรด เป็นพืชพื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้
ปัจจุบันปลูกทั่วไปในประเทศอบอุ่น เป็นพืชที่ใช้หน่อปลูก ใบยาวเรียวมีหนาม 2
ข้างขอบใบ มีผลขึ้นกลางต้น มีตารอบๆ ผลชอบดินทรายอากาศแห้ง
สับปะรดมีหลายสายพันธุ์
ประโยชน์ทางอาหาร
ผลสุกเหลืองมีรสเปรี้ยว
ใช้ประกอบอาหารได้หลายชนิด เช่น สับเนื้อของผลใส่ขนมจีนชาวน้ำ ผัดกับเนื้อหมู
ต้มหมู แกงส้ม แกงคั่วๆ ฯลฯ
ผลสุกหวาน รับประทานเป็นผลไม้
น้ำคั้นจากเนื้อในผล
มีวิตามินซีสูง ปรุงเป็นเครื่องดื่ม ทำไวน์ (สุราผลไม้) ทำน้ำส้มสายชู แช่อิ่ม กวน
เป็นต้น
น้ำย่อยในผลสับปะรด มีอำนาจในการย่อยเนื้อบางชนิดนิยมรับประทานเนื้อย่างกับสับปะรด
(บาบิคิว) ทั้งนี้ เพื่อให้น้ำย่อยในผลสับปะรดช่วยย่อยเนื้อ เมื่อรับประทานแล้ว
จะไม่รู้สึกแน่น หรืออึดอัดท้อง
ประโยชน์ทางยา
ราก หรือ เง่า ที่อยู่ใต้ดิน
รสหวานเย็น ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา แก้นิ่ว แก้หนองใส แก้มุตกิระดูขาว
น้ำหมักเปลือกสับปะรด ใช้แช่กัดโลหิตให้สะอาดดี
2.สมอไทย
ชื่อวิทยาศาสตร์
Jerminalia chebula, Retx.
วงศ์
Combretaceae
ชื่อสามัญ
Chebulic Myrobalans (อังกฤษ), สมอไทย(ภาคกลาง),
หมากส้มมอ (ภาคอีสาน)
สมอไทยเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ พบอยู่ทั่วไปในเขตร้อน ใบโตรสฝาด
ดอกเล็กเป็นช่อสีเหลืองมีกลิ่นหอม ผลกลมรูปไข่มีเหลี่ยมน้อยๆ
สีเหลืองเมล็ดเดี่ยวและแข็ง
ประโยชน์ทางอาหาร
ผลแก่รับประทาน พอทุเลาความหิวโหย แก้กระหารน้ำ
ประโยชน์ทางยา
ผล ต้มใสเกลือเล็กน้อย
รับประทานเป็นยาระบายอ่อนๆ ใช้เป็นยาระบายท้องสำหรับคนที่เป็นอหิวา
หรือท้องร่วงอย่างรุนแรง แก้พิษร้อนภายใน แก้กระหายน้ำได้ดี
ผลสมอ เป็นยาระบายที่รูบิด
และคุมธาตุในตัวเอง ผลสมอเป็นยาวิเศษมาตั้งแต่พุทธกาล
พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้สงฆ์สาวกฉันสมอไทยดองแช่น้ำมูตรโค หรือมูตรตนเอง (น้ำมูตร
= ปัสสาวะ) เป็นยาแก้ปวดตามข้อและกระดูก ทำให้แข็งแรง แก้อ่อนเพลียได้ดี
ผลสมอรับประทานแก้ลมจุกเสียด
ผลอ่อน มีฤทธิ์เป็นยาระบาย
ผลแก่มีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมาน รับประทานเนื้อในผลสมอ หนัก 3 กรัม
เป็นยาระบาย
นอกจากนี้ ยังทำเป็นยาชง ใช้อมกลั้วคอแก้เจ็บคอ
3.มะละกอ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Carica papaya, Linn.
วงศ์
Carciaceae
ชื่อสามัญ
Papaya, Melon Tree (อังกฤษ), มะละกอ(ภาคกลาง),
มะก๊วยเด้ด (ภาคเหนือ), หมากหุ่ง(ภาคอีสาน)
มะละกอ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีเนื้อไม้อ่อน ไม่มีแก่น
โค่นล้มได้ง่าย ใบโตเป็นจักเว้าลึก ก้านกลมยาวและกลวง มีก้านและใบดกตอนยอด เป็นพืชที่มีดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่ต่างต้นกัน
ผลเกิดที่ยอดของลำต้น ถัดจากใบลงมา ผลมะละกอมีขนาดและรูปร่างตางกัน แล้วแต่พันธุ์
ดิน ฤดูกาลและอากาศ รูปร่างของผลมีตั้งแต่กลมไปจนถึงรูปทรงกระบอก ผลดิบมีสีเขียว
ผลแก่จะมีจุดสีส้มบนผล และถ้าสุกเต็มที่จะมีสีส้มทั้งผล เนื้อในขณะดิบจะมีสีขาว
เมื่อสุกจะมีสีส้ม มะละกอมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์โกโก้ ฮาวาย สายน้ำผึ้ง แขกดำ
เป็นต้น
ประโยชน์ทางอาหาร
ผลมะละกอดิบใช้ประกอบอาหารเช่นผักอื่น เป็นต้นว่า ต้มจิ่มน้ำพริก
แกงส้ม ส้มตำ สับฝอยเป็นเหมือดขนมจีนน้ำพริก เป็นต้น
ผลสุกรับประทานเป็นผลไม้ ซึ่งอุดมด้วยธาตุเหล็ก แคลเซี่ยม
วิตามินเอ บี และซี
ประโยชน์ทางยา
ผลมะละกอสุกเป็นยาบำรุงธาตุ
แก้ธาตุไม่ปกติ แก้กระเพาะอาหารอักเสบ ช่วยในการย่อยอาหาร และระบายท้อง
เมล็ด ใช้แก้อาการกระหายน้ำและขับพยาธิได้
ใบแก่ มีสารที่มีฤทธิ์เป็นยาบำรุงหัวใจ
รากและก้าน รสเอียนเย็น
ถอนต้นขนาดย่อมๆ (ใช้ทั้งต้น) มัด 3 เปลาะ
ต้มรับประทานไปจนจืด แก้มุตกิดระดูขาวได้ดี
รากอ่อน รสเอียนเย็น
บำรุงน้ำนม ขับปัสสาวะ
4.มะนาว
ชื่อวิทยาศาสตร์
Citrus aurantifolia, Swingle
วงศ์
Rutaceae
ชื่อสามัญ มะนาว
มะนาวเป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดย่อม คล้ายมะกรูด ผลกลมเกลี้ยง
ขนาดเล็กกว่าผลมะกรูด น้ำในผลสดเปรี้ยวจัด
ประโยชน์ทางอาหาร
น้ำมะนาวมีวิตามินซีสูง ใช้ประกอบอาหารไทยหลายชนิด
ที่ต้องการรสเปรี้ยว เช่น น้ำพริกจิ้ม พล่า ยำ ต้มยำ ต้มโคร่ง ต้มส้ม ลาบ ก้อย
เป็นต้น
น้ำมะนาวผสมน้ำตาลทราย เหยาะเกลือเล็กน้อย
เติมน้ำแข็งใช้เป็นเครื่องดื่ม
ประโยชน์ทางยา
ใบ ใช้
ต้มเป็นยาฟอกโลหิตระดู
เมล็ด คั่วไฟให้เหลือผสมเป็นยาขับเสมหะ
แก้โรคทรางของเด็ก
ราก ใช้เป็นยาถอนพิษไข้กลับหรือใช้ไข้ช้ำ
ฝนกับสุราทาฝี แก้ปวดได้ดี
น้ำมะนาว มีวิตามินซี
รับประทานแก้เลือดออกตามไรฟัน ปรุงเป็นยากัดเสมหะ แก้ไอ เจ็บคอ ใช้ยาหอม 2 เม็ด ละลายน้ำมะนาวใส่เกลือเล็กน้อยบดให้ละเอียดเข้ากัน
ใช้นิ้วป้ายยากวาดในลำคอ โคนลิ้น อาการเจ็บคอจะทุเลาเบาบาง
5.มะขามไทย
ชื่อวิทยาศาสตร์
Tamarindus indica Linn.
วงศ์
Caesalpiniaceae
ชื่อสามัญ
Tamavind, Sampalok (อังกฤษ) , มะขาม ,มะขามไทย (ไทย)
มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ใบประกอบด้วยใบย่อยหลายใบ
จัดเรียงลักษณะคล้ายขนนก ใบย่อยรูปไข่มน กรีบดอกสีเหลือง
กิ่งก้านสาขาแตกออกไปเป็นร่มได้ดี เปลือกต้นขรุขระ เนื้อใบขาวและเหนียว
ฝักค่อนข้างแบนโค้งงอ ยาวประมาณ 1 คืบ
ประโยชน์ทางอาหาร
ฝักมะขามอ่อน ใช้ต้มน้ำพริกมะขาม
ฝักแก่เกาะเปลือกดองเป็นสิ่งขบเคี้ยว มะขามเปียกใส่เป็นรสเปรี้ยวในอาหาร
ใบอ่อนใส่แกงส้ม
ต้มปลา
ประโยชน์ทางยา
ใบ รสเปรี้ยวฝาด
ปรุงเป็นยาขับเสมหะในลำไส้ แก้บิด แก้ไอ ต้มน้ำรวมกับหัวหอม โกรกศีรษะเด็กเวลาเช้ามืดแก้หวัดคัดจมูก
เนื้อมะขามเปียก รสเปรี้ยวจัด
ขับฟอกโลหิต สตรีที่คลอดบุตรใหม่ๆ แก้สันนิบาตหน้าเพลิง เป็นยาระบายอ่อนๆ
เปลือกต้น รสฝาด
ต้มกับน้ำ นำน้ำที่ต้มมาใช้เป็นยาชะล้างแผลให้สมานได้ดี เช่นเดียวกับ ด่างทับทิม
แก่น รสฝาดเปรี้ยว กล่อมเสมหะและโลหิต
น้ำมะขามเปียก ใส่เกลือเล็กน้อยรับประทานเป็นยาระบายอย่างดี
เปลือกฝัก รสฝาด
กะเทาะเปลือกฝักมะขามแช่น้ำร้อน ใช้ชะล้างบาดแผลสด และแผลเรื้อรัง
เนื้อเมล็ด คั่วให้เกรียม
แล้วนำไปแช่น้ำจนพอง ให้เด็กรับประทานเป็นยาขับพยาธิ
6.มะขามเทศ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Pithecellobium dulce, Benth
วงศ์
Leguminosae
ชื่อสามัญ มะขามเทศ
มะขามเทศ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ใบค่อนข้างกลม
สีเขียวสองใบติดกันเป็นใบรวม ดอกเล็กๆ มีสีขาวออกเขียว ฝักเหมือนฝักถั่วบิดงอ
เมล็ดฝักอยู่ในเนื้อที่พองโตเป็นเปลาะๆ ฝักขณะยังอ่อนเป็นสีขาว
พอแก่จัดเปลี่ยนเป็นสีแดงปนเขียว ฝักเมื่อสุกเต็มที่จะแตกอ้า เห็นเนื้อในสีขาว
และเมล็ดกลมแบนสีดำ
ประโยชน์ทางอาหาร
เนื้อจากฝักที่สุกแก่จัดมีรสหวาน รับประทานเป็นผลไม้
ประโยชน์ทางยา
เปลือกต้น มีรสฝาด ต้มเอาน้ำฝาดชะล้างบาดแผล
รับประทานเป็นยาคุมแก้ท้องร่วง เป็นยาสมานลำไส้
7.มะยม
ชื่อวิทยาศาสตร์
Phyllanthus distichus. Muall. Avg.
วงศ์
Euphorbiaceae
ชื่อสามัญ มะยม
มะยม เป็นไม้ผลยืนต้นขนาดย่อม ถึงขนาดกลาง ใบเป็นใบรวมแบบขนนก
ใบย่อยเกิดบนก้านเรียวยาวประมาณ 50 ซ.ม.
ช่อใบเหล่านี้จะชุมนุมมาก บริเวณยอดของต้น ดอกออกตามต้นหรือกิ่ง
ดอกเล็กๆเป็นกระจุก เมื่อติดผลมักจะติดเป็นพวง ผลกลมแบนเป็นเฟืองมนๆ (เป็นพูตื้นๆ)
มีรสฝาดเปรี้ยว
ต้นที่มีผลเรียก “มะยมตัวเมีย” ต้นที่ออกดอกเต็มต้นแล้วร่วงหล่นไปไม่ติดผลเรียก “มะยมตัวผู้”
ประโยชน์ทางอาหาร
ใบอ่อนรับประทานเป็นผักสด
เช่น รับประทานกับส้มตำ หรือปรุงเป็นแกงเลียง
ผล มีวิตามินซีสูง
นิยมดองเกลือ คลุกกับน้ำตาล เกลือ และพริกขี้หนู รับประทานเป็นของคบเคี้ยว
เด็กและสตรีวัยรุ่นชอบมาก
ประโยชน์ทางยา
ราก มะยมตัวผู้รสจืดเย็น
ปรุงยาแก้โรคผิวหนัง แก้โรคประดง (เป็นเม็ดผื่นคัน) ทำให้น้ำเหลืองแห้ง
ใบ มะยมตัวผู้
ปรุงเป็นยาเขียวรับประทาน หมากเมีย ต้มเอาน้ำอาบ แก้พิษคัน ออกหัด ดำแดง สุกใส
ฝีดาษ ลดความร้อนในร่างกาย
8.ฝรั่ง
ชื่อวิทยาศาสตร์
Psidiun guajava, Linn.
วงศ์
Myrstaceae
ชื่อสามัญ
Guava (อักกฤษ), ฝรั่ง (ภาคกลาง), มะก๊วย (ภาคเหนือ), หมากสีดา (ภาคอีสาน)
ฝรั่ง เป็นไม้ผลยืนต้นขนาดย่อม
เป็นไม้พื้นเมืองแถบอเมริกาเขตร้อน กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ใบออกตรงกันข้าม
มีขนเล็กน้อย ดอกมีสีขาว ในหนึ่งช่อดอกมีดอกย่อยประมาณ 3 ดอก
กลีบเลี้ยงมีความคงทน และจะติดอยู่ที่ผล ผลหนาอ่อนมีสีเขียวแก่ ครั้งเมื่อผลแก่สุกสีจะอ่อนลง
เป็นสีเขียวอ่อนปนเหลือง ผลสุกมีสีเหลือง ภายในผลมีเมล็ดกลมแข็งเป็นจำนวนมาก
พบเห็นทั่วไปในประเทศไทยที่มีอากาศร้อน ที่ปลูกในเมืองไทยมีหลายชนิด
-ฝรั่งขี้นก ผลกลมเล็ก เนื้อกรอบไส้แดง
-ฝรั่งจีน ผลโตค่อนข้างกลม ผิวเรียบเนื้อกรอบ มีเมล็ดมาก
-ฝรั่งอินเดีย มีทั้งผลค่อนข้างโต ผิวขรุขระ เนื้อหวานกรอบ เมล็ดน้อย และชนิดผลกลมเล็ก
ผิวเรียบ เนื้อกรอบ เมล็ดมาก (พันธ์ค่อม)
-ฝรั่งเวียดนาม ผลโตมาก มีหลายพันธ์ นิยมปลูกมากในปัจจุบัน
ประโยชน์ทางอาหาร
ผลสุก รับประทานเป็นผลไม้จิ่มน้ำพริกกะเกลือ ให้วิตามินซี และเยื่อใยสูง
ประโยชน์ทางยา
ราก เข้ายาแก้น้ำเหลืองเสีย
ทำให้น้ำเหลืองแห้ง
ใบ ต้มรับประทานแก้ท้องร่วง
ปวดท้อง ท้องเสีย (ใช้เจ็ดยอดต้มกับน้ำ 2 ชาม
เคี่ยวให้งวดเหลือ 1 ชาม) น้ำที่ต้มใช้ชะล้างบาดแผล
เคี้ยวใบดับกลิ่นปาก
ใบหล่น ปิ้งไฟจนเหลืองกรอบ
ต้มรับประทานแก้ท้องร่วง แก้บิด
ผลสุก วางบนหลังหีบศพ
ดูดกลิ่นเหม็นได้ดี
ฝรั่งทั้งห้า รสฝาดเย็น
ใช้ภายนอกดูดกลิ่นเหม็น ดูดน้ำเหลือง น้ำหนอง ถอนพิษบาดแผล
9.น้อยหน่า
ชื่อวิทยาศาสตร์
Anona sguamosa Linn.
วงศ์
Anonaceae
ชื่อสามัญ
Sugar Apple (อังกฤษ) น้อยหน่า (ภาคกลาง), มะนอแน่
(ภาคเหนือ), บักเขียบ(ภาคอีสาน)
น้อยหน่าเป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม ใบเล็กยาว ปลายใบแหลม ใบหนา
ต้นสูงประมาณ 8-10 ฟุต ดอกมีกลีบแข็งอ่อนมีสีเขียว
ผลกลมโตเท่าสะท้อน มีตาโปนมองดูขรุขระแก่เต็มที่จะมีสีเขียวปนแดงอ่อนๆ เล็กน้อย
ในแต่ละตาของผลจะมีเมล็ดสีดำเป็นมัย 1 เมล็ด
เนื้อที่หุ้มเมล็ดมีสีขาว
ประโยชน์ทางอาหาร
เป็นผลไม้ที่มีรสหวานและมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน
ผลสุกรับประทานเป็นผลไม้
ประโยชน์ทางยา
ใบ มีกลิ่นเหม็นเขียว
โขลกกับน้ำมันมะพร้าว ใช้ในการกำจัดเหาได้เช่นเดียวกับเมล็ด
ใบสด โขลกป่นพอกแก้ฟกบวม
ฆ่าพยาธิ ผิวหนังกลากเกลื้อน ภายในฆ่าพยาธิในลำไส้
เปลือกต้น มีรสฝาด
ปิดธาตุสมานแผล ฝนกับสุราทาแผลแก้พิษงู
ราก รสเฝื่อนเอียน
เป็นยาระบาย ถอนพิษเมื่อเมา ทำให้อาเจียน
เมล็ด มีน้ำมันที่มีฤทธิ์ฆ่าเหาได้
โดยใช้เมล็ดตำผสมกับน้ำมะพร้าวชโลมที่ศีรษะทิ้งไว้ราว 1-2 ชั่วโมง
จะฆ่าเหาได้ ในการใช้ควรระวังมิให้ถูกนัยน์ตา เปลือกตา ริมฝีปาก และรูจมูก
เพระจะทำให้แสบร้อน
เปลือกผลตายพราย (ผลแห้งติดต้น)
แก้พิษงู แก้ฝีในลำคอ
10.ทับทิม
ชื่อวิทยาศาสตร์
Punica granatum Linn. วงศ์ Punicaceae
ชื่อสามัญ
Pomegranate, Pinic Apple
ทับทิม(ภาคกลาง) มะถือ(ภาคเหนือ) พิลา (ภาคอีสาน)
ทับทิมเป็นไม้พุ่ม มีถิ่นกำเนิดในทวีปอาเซียน มีขึ้นอยู่ทั่วๆไป
เป็นพืชที่ชอบขึ้นในดินที่มีกรวดและทรายปนอยู่มีชนิดดอกแดง และดอกขาว
ผลมีลักษณะค่อนข้างกลม ขนาดส้มเขียวหวาน เปลือกหนา ผลเมื่อแก่จะมีสีเหลืองปนน้ำตาล
และมีสีแดงฉาบอยู่บางๆเป็นตอนๆ ซึ่งทำให้ผลมีสีสันที่สะดุดตาและเป็นมัน
ผลเมื่อแก่เต็มที่จะแตกออกทำให้เมล็ดมีสีแดงเรื่อเป็นจำนวนมาก
เนื้อที่หุ้มเมล็ดมีลักษณะโปร่งแสง มีรสเปรี้ยวอมหวาน เมล็ดในมีสีขาว
ประโยชน์ทางอาหาร
เนื้อที่หุ้มเมล็ด รับประทานเป็นผลไม้ ซึ่งอุดมด้วย วิตามินซี
ประโยชน์ทางยา
เปลือกผล รสฝาด
แก้โรคท้องร่วง คุมธาตุ ชะล้างแผล
เปลือกลำต้นและรากสดๆ ใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืด(ใช้เปลือก 60 กรัม
ต้มกับน้ำครึ่งลิตร ปนกระวาน หรือกานพลูพอควร เพื่อแต่งกลิ่น
เคี่ยวให้งวดเหลือน้ำประมาณครึ่งหนึ่ง รับประทานครั้งละ 3 ซีซี
โดยให้ผู้ที่จะถ่ายพยาธิอดอาหารเช้าก่อน แล้วรับประทานยาระบาย เช่น
น้ำมันละหุ่งตาม
ใบ รสฝาด
แก้บิดมูกเลือด แก้ท้องร่วง
ราก รสเมา
ขับพยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด พยาธิเส้นด้าย
ทับทิมทั้งห้า (ต้น
ราก ผล (เปลือกของผล)ดอกและใบ) รสฝาดเมา ขับพยาธิไส้เดือน ตัวตืด เส้นด้าย
แก้บิดมูกเลือด แก้ท้องร่วง รับประทานบ่อยๆ ทำให้สำใส้และกระเพาะระคายเคือง
11.ทุเรียน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Durio zibetinous Linn.
วงศ์ Bambacaceae
ชื่อสามัญ Durian (อังกฤษ) ทุเรียน (ไทย)
ทุเรียนเป็นไม้ผลยืนต้นขนาดกลาง
ใบแข็งหนาและยาวใบสีเขียวแก่ ท้องใบเป็นสีน้ำตาล ดอกมีกลีบแข็งหนา ผลเป็นหนามแหลม
เปลือกหนา เนื้อในผลสุกหนา หอม มีสีเหลืองอ่อนจนถึงเหลืองเข้ม (สีจำปา)
กลิ่นหอมฉุน รสหวานมัน และมีสามรส คือ หวาน มันและขม
ขึ้นเองตามป่าราบหรือปลูกเป็นสวน
ประโยชน์ทางอาหาร
เนื้อในผลทุเรียนมีธาตุกำมะถันอยู่ด้วย รับประทานมากๆทำให้เกิดความร้อนสะสมในร่างกาย
ประโยชน์ทางยา
ใบ รสฝาด มีฤทธิ์ขับพยาธิ ทำให้หนองแห้ง
ผลดิบ รสฝาดหอม แก้จุกเสียดในท้อง แก้โรคลักปิดลักเปิด
เลือดออกตามไรฟัน
เปลือกผลสุก รสฝาดหอมร้อน ปรุงเป็นยาแก้โรคน้ำเหลืองเสีย แก้เด็กเป็นหนอง
ฝีแผลพุพอง แก้ตานทราง
เอาน้ำใส่ขังเปลือกของพู ใช้ล้างมือ
จะบรรเทากลิ่นทุเรียนที่ติดตามมือและเล็บ
1.หอมแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์
Allium ascolanucum, Linn.
วงศ์
Libiaceae
ชื่อสามัญ
Onion (อังกฤษ), หอมแดง(ภาคกลาง), ผักบั่ว (ภาคอีสาน)
หอมแดง เป็นพืชลงหัวเหมือนหอมใหญ่ แต่มีขนาดเล็กกว่า
ใบกลมเป็นหลอดเส้นยาวๆ ดอกสีขาวเป็นช่อดอก คล้ายดอกดาวเรือง แต่เล็กกว่า
ประโยชน์ทางอาหาร
หัวและใบสด รับประทานเป็นผักสด หัวแห้งใส่น้ำพริกแกงส้ม
แกงมัสมั่น ต้มส้ม ต้มโคลง ต้มเนื้อ ลาบพล่า ยำ ใส่น้ำปลาพริก ฯลฯ ช่วยปรุงรสหวาน
และดับกลิ่นบางอย่างในอาหาร
ประโยชน์ทางยา
หัว รสเผ็ดร้อนฉุน ปรุงเป็นยาสุมหัวเด็ก รวมกับเปราะหอม แก้เด็กเป็นหวัดคัดจมูก
หายใจไม่สะดวก ทำให้น้ำมูกแห้ง หลอดคอโปร่ง และขับลมในลำไส้ให้เดินสะดวก
ใบ รสเค็มหวานเป็นเรือก แก้ไข้หวัด กำเดา
2.สะระแหน่
ชื่อวิทยาศาสตร์
Metha vividis.
วงศ์
Labiatae
ชื่อสามัญ สะระแหน่ (ภาคกลาง), หอมด่วน (ภาคเหนือ)
สะระแหน่ เป็นพืชขนาดเล็ก ลำต้นเลื้อยไปตามดิน และเป็นสี่เหลี่ยม
สีแดงช้ำๆ ใบกลมรูบไข่ขนาดหัวแม่มือ ริมใบเป็นจักรอบ ใบเขียวค่อนข้างเล็กน้อย
ใบมีกลิ่นฉุนซ่าๆ ชอบขึ้นในดินร่วนชุ่มชื่น
ประโยชน์ทางอาหาร
ใบ ใช้ปรุงอาหารดิบกลิ่นคาว ใส่ลาบ พล่า ยำ ต้มยำ ฯลฯ
ประโยชน์ทางยา
โดยมากใช้เป็นกระสายแทรก แก้ท้องขึ้นอือเฟ้อ แก้ปวดท้อง
ขับผายลมได้ดี กลิ่นหอมฉุน รสปร่าซ่า แก้ปวดท้องจุกเสียด แก้ทรางชัดในเด็ก
3.ยอ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Morinda citrifolia, Linn.
วงศ์
Rubiaceae
ชื่อสามัญ ยอ, ยอบ้าน
ยอเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กแผ่นใบกว้าง ใบโตขนาดใบหูกวาง หนา แข็ง
สีเขียวสด ก้านใบสี่เหลี่ยมใบเป็นมัน ออกดอกเป็นกระจุกสีขาวนวล ผลเป็นรูปไข่
สีขาวอมเขียวอ่อน มีตาเป็นปุ่มๆรอบผล เมื่อแก่เต็มที่มีสีขาวอมนวล ผลสุกมีกลิ่น
พบเห็นทั่วไปตามบ้านและสวน
ประโยชน์ทางอาหาร
ใบ ตำพอกแก้อาการปวดตามข้อเล็กๆ
ของนิ้วมือและเท้า น้ำคั้นจากใบยอสดๆนำมาสระล้างศีรษะ เป็นยาฆ่าเหา แต่ต้องทำสัก 2-3
ครั้งจึงจะหมดไข่
ผล โขลกกับเกลือผสมน้ำผึ้ง
ปั้นเป็นลูกกอน รับประทานมื้อละ 1-2 ก้อน
เป็นยาขับผายลมในสำใส้ได้ดีมาก
4.ฟักทอง
ชื่อวิทยาศาสตร์
Cucurbita pepo Linn.
วงศ์
Cucurbitaceae
ชื่อสามัญ Vegetable Marrow. Field Pumpkin (อังกฤษ) ฟักทอง
(ไทย)
ฟักทองเป็นพืชล้มลุกเถาเลื้อยไปตามดิน เถาอวบมีขน
ใบโตขอบใบโค้งเว้า 3-5 หยักคล้ายใบบวบ
หรือน้ำเต้าก้านและแผ่นใบปกคลุมด้วยขน ดอกตัวผู้และตัวเมียอยู่ต่างดอกกัน
ดอกมีสีเหลือง ตรงโคนดอก เป็นหลอด แยกเป็น 5 แฉก
ตรงปลายดอกแผ่บานออก การทอดเลื้อยอาศัยมือเกาะ ผลมีขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1
ฟุต เปลือกแข็งปานกลาง ผลมีรูร่างลักษณะกลมแป้นและเว้าเป็นพู
ขั้วติดกับลำต้นเป็นสีเหลี่ยมมีลักษณะแข็งและเหนียว เนื้อภายในสีเหลือง
เมล็ดแบนใหญ่สีครีมรูปร่างคล้ายเมล็ดแตงโม เกาะติดอยู่กับไส้
ปลูกกันทั่วไปในเขตร้อนและอบอุ่น
ประโยชน์ทางอาหาร
เนื้อฟักทองให้วิตามินเอสูง ใช้ประกอบอาหารได้ทั้งคาวและหวาน
ประโยชน์ทางยา
เมล็ด ใช้ขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ
และทำให้เนื้อเยื่อภายในเกิดความชุ่มชื่นและอ่อนนุ่ม
ก่อนที่จะใช้เมล็ดฟักทองเป็นยาถ่ายพยาธิ จะต้องอดอาหารก่อนล่วงหน้า 1 วัน
วิธีทำยาถ่ายพยาธิจากเมล็ดฟักทอง นำเมล็ดฟักทองหนัก 60 กรัม บดกับน้ำตาลให้มีรสหวานเติมนมหรือน้ำให้ได้ปริมาณครึ่งลิตร
รับประทานให้หมดภายใน 3 ครั้ง เว้นระยะห่างกันครั้งละ 2
ชั่วโมง หลังจากครั้งสุดท้ายและประมาณ 2-3 ชั่วโมง
ให้รับประทานยาถ่ายพวกดีเกลือตามไป
น้ำมันที่บีบจากเมล็ดมีฤทธิ์บำรุงประสาท
ราก ต้มรับประทานเป็นยาบำรุงความกำหนัด
5.ผักบุ้ง
ชื่อวิทยาศาสตร์
Ipomoea aquatica, Forsk I. veptans, Linn. ,Poir
วงศ์
Convolvulaceae
ชื่อสามัญ ผักบุ้ง, ผักทอดยอด
ผักบุ้ง เป็นพืชเลื้อยทอดไปตามผิวดินหรือผิวน้ำใบมีก้านยาว
ปลายใบแหลม ใบเป็นรูปลูกศร ขอบใบเรียบกลีบดอกสีขาวหรือสีม่วงแดง มีได้ 2 สี ดอกออกตรงง่ามใบ มีดอกเดียวหรือ 2 ดอก
โคนดอกเป็นหลอดปลายบาน ตามข้อตอนล่างของต้นจะมีรากงอกออกมา ลำต้นกลวง
มีข้อคั่นเป็นปล้องๆ ใช้เป็นทุ่นพยุงลำต้นให้ลอยตัวเหนือผิวน้ำ
ก.
ผักบุ้งจีน
ปลูกจากเมล็ดบนแปลงที่เตรียมดิน ลำต้นตั้งตรงสูง 30-50 ซ.ม. เปลือกบางสีเขียวอ่อน
ค่อนข้างเหนียวเมื่อลำต้นเริ่มจะแก่หรือแกร็นเพราะขาดน้ำ ใบแคบยาว
หูใบและปลายใบแหลม ต้องการปุ๋ยและน้ำมาก อายุประมาณ 30 วัน ตั้งแต่เริ่มหว่านเมล็ดก็ถอนขึ้นมารับประทานได้
นิยมผัดไฟแดง แกงจืดกับหมูสับ หรือทำเย็นตาโฟมากกว่าอย่างอื่น
ข.
ผักบุ้งไทย
มีทั้งชนิดต้นขาว (เขียวอ่อน) และชนิดต้นแดง (ผักบุ้งแดง)
ลำต้นเล็กเลื้อยทอดตามผิวดิน นิยมเด็ดยอดอ่อนมาจิ้มน้ำพริกปลาร้า
หรือรับประทานกับส้มตำ
อีกชนิดหนึ่ง ลำต้นอวบเปลือกหนา ใบกว้างใหญ่ ลอยฟ่องบนผิวน้ำนิ่ง
ลำต้นกรอบ
ประโยชน์ทางอาหาร
ยอดอ่อนและใบ รับประทานเป็นอาหารผักได้ทั้งดิบและสุก
ประกอบอาหารได้หลายชนิด อุดมด้วยธาตุเหล็ก และ แคลเซี่ยม มีวิตามินเอ และซีสูง
ประโยชน์ทางยา
น้ำต้มจากต้นใช้เป็นยาระบาย เป็นยาทำให้อาเจียน
เนื่องจากพิษของฝิ่นและสารหนู ในแคว้นอัสสัมใช้ผักบุ้งสำหรับบำบัดโรคประสารท
การเสื่อมสมรรถภาพ ใช้ฟอกริดสีดวงทวาร ดอกตูมใช้บำบัดกลาก เกลื้อน
ทั้งต้น ใช้เป็นยาถอนพิษ แก้เบื่อเมา ถอนพิษยาทั้งปวง
แก้ตาฝ้าฟาง
ชาวจีนใช้ต้มกับเกลืออมแก้เหงื่อบวม (รำมะนาด)
แมลงสัตว์กัดต่อยใช้ใบผักบุ้งขยี้ทา
6.ผักชี
ชื่อวิทยาศาสตร์
Carum carui Linn carum copticum, Benth
วงศ์
Umbelliferae
ชื่อสามัญ ผักชี (ภาคกลาง), ผักหอมน้อย (ภาคเหนือ), ผักชี(ภาคอีสาน)
ผักชีเป็นพืชขนาดเล็ก ประเภทผัก ใบเล็กเป็นฝอยสูงประมาณ 1
ฟุต ออกดอกเป็นช่อใหญ่ สีขาว ผลกลมเล็กมีกลิ่นหอม
ประโยชน์ทางอาหาร
ราก มีกลิ่นหอมแรง ใช้ผสมกับน้ำพริกแกงเผ็ด ผัดเผ็ด ต้มเนื้อ ฯลฯ
ก้านและใบ ใช้เป็นผักจิ้ม รับประทานสดๆกับแหนม สาคูไส้หมู
โรยใส่แกงจือ
เมล็ด เข้าเครื่องแกงเผ็ด
ประโยชน์ทางยา
เมล็ด มีรสสขมฝาดหวาน แก้ไขอันเกิดแก่ทรวงอกบำรุงธาตุ
แก้สะอึดและกระหายน้ำ แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้ไตพิการ
ราก กลิ่นหอม รสเย็นปร่า ผสมกับยาเขียวให้เด็กรับประทาน
เป็นยากระทุ้งพิษไข้หัว เช่น เหือด หัด สุกใส แก้ไอ
7.บัวบก
ชื่อวิทยาศาสตร์
Centella asiatica Linn. (Hydrocotyle asiatica, Urban)
วงศ์
Umbelliferae
ชื่อสามัญ บัวบก(ภาคกลาง),ผักแว่น(ภาคเหนือ) ผักหนอก
(ภาคอีสาน)
บัวบกเป็นพืชเลื้อยไปตามพื้นดินที่แฉะๆมีรากงอกออกมาตามข้อของลำต้น
ใบมีรูปร่างกลมริมจักคล้ายใบบัวสาย ก้านใบยาว ดอกสีม่วงแดงเข้ม
พบเห็นทั่วไปในเขตร้อน
ประโยชน์ทางอาหาร
ใบบัวบกใช้เป็นอาหารประเภทผักสด รับประทานกับหมี่กรอบ
ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย จิ๋มกะปิคั่วฯลฯ น้ำคั้นจากใบใช้เป็นเครื่องดื่ม
ประโยชน์ทางยา
ทั้งต้นและใบ คั้นน้ำรับประทานเป็นยาบำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย
เมื่อยล้า ขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย อาการเริ่มเป็นบิด เป็นยาบำรุงรักษาโรคผิวหนัง
โรคเส้นประสาท
ใบและเถาโขลกคั้นเอาน้ำผสมสุราดื่มแก้ช้ำใน
ผู้ดื่มสุรามากๆ รู้สึกอ่อนเพลีย อิดโรยในตอนเช้า
เมื่อได้ดื่มน้ำใบบัวบกคั่นใส่น้ำตาลจะทำให้ใจคอเบิกบานและชุ่มชื่น
8.น้ำเต้า
ชื่อวิทยาศาสตร์
Lagonaria leucantha, Hasby
วงศ์ Cucurbitaceae
ชื่อสามัญ น้ำเต้า (ภาคกลาง), มะน้ำ (ภาคเหนือ),หมากน้ำเต้า (ภาคอีสาน)
น้ำเต้าเป็นพืชเถาเลื้อยไปตามพื้นดิน หรือทำร้านให้ไต่ขึ้น
ลักษณะใบโตหนา คล้ายใบฟักทอง มีขนยาวเหลือบคล้ายกำมะหยี่ตลอดเถาและใบ ดอกใหญ่
ออกเป็นสีขาวอมเหลืองนวลๆ มีมือจับ (หนวด) สำหรับจับไต่ตามไปที่อื่นๆที่อยู่ใกล้
ผลกลมโตขนาดผลส้มโอจนถึงผลมะพร้าว น้ำเต้ามีด้วยกัน 4 ชนิด
ก. ชนิดผลกลม ขั้วผลมีจุกคล้ายขวด
ข. ชนิดผลกลมเกลี้ยงไม่มีจุดต่อขึ้นไป
ค. ชนิดผลกลมยาวเหมือนงาช้าง (น้ำเต้างาช้าง)
ง. เหมือนชนิดแรก แต่เนื้อขม เถาและใบขม (น้ำเต้าขม)
ชนิดนี้หายากใช้เพียงทำยาเท่านั้น
ประโยชน์ทางอาหาร
ผลอ่อน นำมาปรุงเป็นอาหาร เช่น ผัด แกงเลียง ต้มส้ม
ต้มจิ้มน้ำพริก ฯลฯ
ประโยชน์ทางยา
ราก เป็นยาแก้ดีแห้ง
และขับน้ำดีให้ตกลำไส้
ใบ เป็นยาดับพิษ
แก้ตัวร้อน ร้อนในกระหายน้ำ
9.บวบ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Luffa cylindica Roxb.
วงศ์
Cucubitaceae
ชื่อสามัญ
Sun-kwa of Chinese (อังกฤษ) บวบหอม, บวบเหลี่ยม,
บวบหอม (บวบกลม)ไทย
บวบเป็นไม้เลื้อยเถาไต่ขึ้นที่สูง
โดยมีมือจับยึดเกาะสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ ใบค่อนข้างใหญ่ ขอบใบโค้งเว้าตื้นๆเป็นเหลี่ยม
คล้ายใบน้ำเต้า พื้นใบสีเขียวเข้ม มีขนสั้นๆทั่วไป ทำให้รู้สึกสากคาย ดอกมี 5
กลีบ สีเหลืองสด หลังจากกลีบดอกร่วงจะติดเป็นผล ผลยาวห้อยย้อยลง
ขึ้นง่าย ปลูกกันตามสวน และตามบ้านเรือนทั่วๆไป ที่นิยมปลูกในบ้านเรามี 4 ชนิด
ก. บวบหอม ผลกลมใหญ่ยาว
ข. บวบเหลี่ยม ผลเล็กกว่าบวบหอม
ผลเป็นเหลี่ยมๆ
ค. บวบงู ผลกลมเล็กและยาว
คองอเหมือนงู
ง. บวบขม ผลเล็กกว่าบวบชนิดอื่น
ใช้ทำยา
ประโยชน์ทางอาหาร
ผลอ่อน ต้มจิ้มนำพริก ผัด แกงเลียง
ประโยชน์ทางยา
บวบหอม
รากและเถา รสขม บำรุงธาตุ บำรุงน้ำดี ระบายอ่อนๆแก้ไข้
เมล็ด รสขมเอียน ระบายท้อง รับประทานทากทำให้อาเจียน
บวบขม
ผล รสขม พอกศีรษะแก้คันศีรษะ แก้รังแค ฆ่าเหา
เมล็ด รสขมขื่น ขับเสมหะ แก้หืด ทำให้อาเจียน แก้โรคบิด
รังบวบแห้ง ผสมยาสูบ สูบแก้ริดสีดวงจมูก
10.ตำลึง
ชื่อวิทยาศาสตร์
Coccinia indiaca W&A
วงศ์
Cucurbitaceae
ชื่อสามัญ
Ivy Gourd (อังกฤษ)
ตำลึง, สี่บาท (ภาคกลาง), ผักแคบ (ภาคเหนือ), ตำลึง,ตำนิล
(ภาคอีสาน)
ตำลึงเป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันตามต้นไม้ใหญ่และสิ่งที่อยู่ใกล้ มีมือจับ,
ใบออกสลับกัน ลักษณะของใบมี 2 ชนิด
ชนิดหนึ่งขอบใบหยักเว้าลึกเข้าไปเกือบถึงโคนใบเรียก “ตำลึงตัวผู้”
อีกชนิดหนึ่งใบโตเว้าเข้าเล็กน้อยคล้ายรูปสามเหลี่ยม เรียก “ตำลึงตัวเมีย” ดอกสีขาวมี 5 แฉก
ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่ต่างต้นกัน ผลสีเขียวลายขาว เมื่อสุกเต็มที่มีสีแดงสด
เนื้อภายในมีสีแดงด้วย รากมีขนาดใหญ่เป็นพืชที่มีอายุอยู่หลายปี
เมื่อมีอายุมากเถาจะใหญ่แข่งและเหนียว ชอบขึ้นตามรกร้างทั่วๆไป
ประโยชน์ทางอาหาร
ยอดอ่อน ใบอ่อนและผลอ่อน รับประทานเป็นผักได้
ใบอ่อนต้มจืดกับหมูสับ ใส่ก๋วยเตี๋ยวหมูแทนผักอื่น ลวกจิ้มน้ำพริก แกงเลียง
ประโยชน์ทางยา
ส่วนต่างของตำลึง เช่น เถา ใบ ราก เคยใช้บำบัดผิวหนัง
การอักเสบของหลอดลมและเบาหวาน
ใบ ปรุงเป็นยาเย็น
ใบสดตำละเอียดแล้วเอาน้ำทาตามบริเวณผิวหนัง เป็นยาถอนพิษ
คนที่ถูกหมามุ่ยหรือถูกใบตะรังตังช้าง หรือพิษเนื่องจากขนของใบไม้ที่เป็นพิษทั่วไป
ทำให้หายแสบร้อนหายคัน
ใบตัวผู้ (ขอบใบเว้าลึก) ผสมเป็นยาเขียวแก้ไข้ เป็นท่อนยาวประมาณ
2 นิ้วฟุต นำมาคลึงพอช้ำ แล้วเป่าทางหนึ่ง
อีกทางหนึ่งจะเป็นฟองฟูออก ใช้หยอดตาแก้ตาช้ำตาแดงได้ดีมาก
11.ชะอม
ชื่อวิทยาศาสตร์
Acasia insuavis, Lace.
วงศ์
Leguminosae
ชื่อสามัญ ชะอม (ภาคกลาง), ผักล่า, ผักละ,
ผักห้า, (ภาคเหนือ), ผักขา
(ภาคอีสาน)
ชะอมเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยขนาดย่อม
ตามลำต้นและกิ่งก้านมีหนามงองุ้ม แหลมคมอยู่ทั่วไป เปลือกต้นสีขาวนวลใบเล็กฝอย
เป็นใบรวมแบบขนนกคล้ายใบหางนกยุงฝรั่ง ใบมีกลิ่นฉุน
ประโยชน์ทางอาหาร
ยอดอ่อนรับประทานเป็นผักจิ่มน้ำพริก แกงเลียง แกงป่า แกงลาว
ชุบไข่ทอด ฯลฯ
ประโยชน์ทางยา
รากรสร้อนฉุน ฝนรับประทาน แก้ท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้
แก้ปวดเสียวในท้อง
12.แค
ชื่อวิทยาศาสตร์
Agati gradiflora Desv.
วงศ์
Lezuminosae
ชื่อสามัญ แค, แคบ้าน,แคดอกแดง,แคดอกขาว
แคเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เป็นพืชตระกูลถั่ว เช่นเดียวกับมะขาม
กระถิน โสน ใบเป็นใบรวมแบบขนนก ใบเล็กรูปไข่ยาวมน ดอกคล้ายดอกถั่ว
มีฝักกลมยาวประมาณ 10 นิ้ว
คล้ายถั่วฝักยาวที่พบเห็นทั่วไปมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่
ก. แคเตี้ย ต้นเตี้ยดอกขาว
ข. แคแดง ต้นโตกว่าแคเตี้ย
แต่เล็กกว่าแคขาว ดอกสีแดงเข้ม
ค. แคขาว ต้นสูงใหญ่กว่า
2 ชนิดแรก ดอกสีขาว
แคขึ้นเจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิด
เป็นไม้ที่ปลูกตามบ้านและสวนทั่วไป ปลูกต้นแคไว้มากๆ ลำต้นใช้เพาะเห็ดหูหนู
ใบที่ร่วงหล่นจะทำให้ดินเลวกลับกลายเป็นดินที่ดี
ประโยชน์ทางอาหาร
ใบอ่อนยอดอ่อนรับประทานเป็นผัก โดยลวกจิ้มน้ำพริก ดอก ต้ม เผา
จิ้มน้ำพริก หรือแกงส้ม
ประโยชน์ทางยา
เปลือก รสฝาด
ต้มหรือฝนรับประทานแก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด คุมธาตุ ภายนอกใช้ชะล้างบาดแผล
ใบ รับประทานแก้ไข้เปลี่ยนฤดู
(แก้ไข้หัวลม) ระบายอ่อนๆ ตำพอกแก้ช้ำ
น้ำต้มจากใบ เปลือก ดอก และราก หยอดจมูกแก้ริดสีดวงจมูก
ทำให้น้ำมูกออกมาก แก้ปวดและหนักศีรษะ
13.ข้าว
ชื่อวิทยาศาสตร์
Oryza sativa Linn.
วงศ์
Gramineae
ชื่อสามัญ
Rice (อังกฤษ) ข่าวเจ้า,ข้าวเหนียว
ข้าว เป็นพืชล้มลุก เป็นพืชน้ำ มีบางพันธุ์ที่สามารถขึ้นบนดอน
เรียกว่า “ข้าวไร่”
ลำต้นกลวงและเป็นข้อ แตกกอ ชอบขึ้นในดินเหนียวที่มีน้ำขัง
ใบยาวเรียวสากคายเหมือนใบตะไคร้หรือหญ้าคา ดอกเป็นช่อดอกรวมเรียกว่า “รวงข้าว” เมล็ด (ผล) เมื่อยังอ่อนมีสีเขียว
ครั้งเมื่อสุกจะมีสีเหลืองทอง เป็นพืชเมืองร้อน
ข้าวสาร เป็นเมล็ดของข้าวจ้าวที่ได้รับจากการสีข้าวเปลือก
แล้วนำมาเป็นอาหารโดยการหุงต้ม
ประโยชน์ทางอาหาร
ข้าว เป็นอาหารหลักของชาวตะวันออก เป็นอาหารแป้งให้คาร์โบไฮเดรท
ที่เป็นพลังงานของร่างกาย จมูกข้าวและมุกข้าว (เยื่อหุ้มเมล็ดข้าว) อุดมด้วยโปรตีน
วิตามิน เกลือแร่ รำข้าวอุดมด้วยวิตามินบี นอกจากใช้หุงต้มแล้ว
แป้งของข้าวยังใช้ทำขนมได้หลายชนิด
ประโยชน์ทางยา
แพทย์แผนโบราณ
ท่านรู้จักนำส่วนต่างๆของต้นข้าวและข้าวที่แปรสภาพมาใช้เป็นยารักษาโรคแบบยากลางบ้าน
ดังนี้
ส่วนของข้าวที่ใช้เป็นยารักษาโรค
ข้าวงอก: เอาข้าวเปลือกแช่น้ำ
เมล็ดข้าวจะงอกรสหวานเย็น แก้ไข้ร้อนอ่อนเพลีย ใช้เป็นยาช่วยย่อยอาหาร
เพราะมีน้ำย่อยแป้ง
ข้าวสาร : ใช้ข้าวสารแช่น้ำตำเป็นแป้ง
(ประกอบพิธีบริกรรมเวทย์มนต์คาถา ) พอกแก้บวม แก้ปวด แก้คุณไสย
แป้งข้าวเจ้าผสมน้ำให้เหนียว ปิดพอกแก้ลมเพลมพัด
(อาการปวดบวมตามร่างกายเปลี่ยนและเคลื่อนที่ได้)
เข้าใจว่าคงเป็นไข้หวัดใหญ่เรื้อรัง จึงทำให้บวมไปทั่วร่างกาย
ข้าวสารตำผสมกับเหล้าโรง ทาแก้ลมพิษ แก้คันได้ดี
แป้งข้าวเจ้าใช้พอก เพื่อบรรเทาอาการอักเสบใน “ไฟลามทุ่ง” และผิวหนังที่น้ำร้อนลวกได้
น้ำซาวข้าว : มีรสเย็น
ถอนพิษสำแดง แก้พิษร้อนภายใน ดับพิษอักเสบและฟกบวม
ใช้ทำน้ำกระสายยาไทยอยู่หลายขนาน
น้ำข้าว : (น้ำข้าวได้จากการหุงต้มข้าวเช็ดน้ำ
รองน้ำเอาไว้) น้ำข้าวเข้ามาอยู่ในเภสัชตำรับของอินเดีย
มีฤทธิ์ทำให้เยื่อภายในอ่อนนุ่ม เป็นยาเย็นและแก้อาการอักเสบ แก้อาการขัดเบา
บางครั้งผสมน้ำมะนาว และน้ำตาลลงไปด้วยเพื่อปรุงรส
นอกจากนี้ยังใช้สวนทางทวารหนักเพื่อหล่อลื่นลำไส้ในรายที่ท้องผูก
รวงข้าว : ใช้รวงข้าวที่กำลังออกเป็นน้ำนม
บีบคั้นเอาแต่น้ำ นำมากวนเจือน้ำตาลเล็กน้อย
ใช้เป็นยาบำรุงกำลังคนไข้ที่มีอาการหนัก
ข้าวเปลือก : ใช้ข้าวเปลือกใหม่ๆ
มีละอองสีขาวปน ต้มน้ำ ดื่มแก้กษัย
รากข้าว : ใช้รากของต้นข้าว
ขณะที่ต้นข้าว (ต้นกล้าข้าว) สูง 10 นิ้ว นำมาประกอบยา
แก้ทราง ตานขโมยเด็ก
ซังข้าว : คือต้นข้าวที่เก็บเกี่ยวเอาเมล็ดข้าวไปแล้วนำมาใช้ยาขับระดู
ข้าวไหม้หรือข้าวตัง : ใช้ผสมยาตำพอกฝี ดูดหนองฝี
ข้าวใหม่ : คื่อข้าวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวและสีออกใหม่ๆ
นำมาหุงกิน ทำให้เจริญกำลัง
14.ข่า
ชื่อวิทยาศาสตร์
Alpinia siamensis, K. Schum
วงศ์
Zingiberaceae
ชื่อสามัญ ข่าใหญ่,ข่าตาแดง, ข่าลิง
ก.ข่าใหญ่ (ข่าหลวง)
เป็นพืชลงหัวจำพวกว่าน ลงหัวใหญ่ขาวอวบอ้วน เป็นแง่งคล้ายขิง
ใบคล้ายใบพาย ดอกออกเป็นช่อ สีขาวประแดง คล้ายดอกมะขาม ผลกลมโตเท่าเมล็ดบัว
ผลแก่สีดำ มีเมล็ดๆภายในมีรสขมเผ็ดร้อน ชอบขึ้นตามที่ชื่นแฉะ
ปลูกกันตามบ้านเรือนทั่วไป
ประโยชน์ทางอาหาร
หน่ออ่อน ต้มจิ่มน้ำพริก
ต้มขาไก่
แง่งแก่ ใช้ปรุงเครื่องแกงเผ็ด
ผัดเผ็ด ใส่ลาบ ต้มเนื้อ ป่นคลุกเคล้าเกลือใส่ข้าวต้มปลาดับกลิ่นคาว
ประโยชน์ทางยา
เมล็ด รสขมเผ็ดร้อน
แก้ลม แก้ดีพิการ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับโลหิตและลม
หน่ออ่อน รสขมเผ็ดร้อนเล็กน้อย
ขับลมในลำใส่ ขับโลหิตเน่า แก้ปวดในท้อง
แง่งแก่ รสเผ็ด
แก้ปวดเสียดแทงในท้อง
ข.
ข่าตาแดง
เป็นพืชตระกูลเดียวกันกับข่าใหญ่ ใบ ต้น ดอก
มีลักษณะดังเช่นข่าใหญ่ทุกประการ หากแต่ทุกๆส่วนย่อมกว่าข่าใหญ่เล็กน้อย
หน่อที่แตกออกมามีสีแดงจัดทุกหน่อ เลยเรียก “ข่าตาแดง”
แง่งย่อมกว่าข่าใหญ่ แต่มีกลิ่นหอมรุนแรงกว่ามาก หน่อและแง่ง
ใช้ปรุงอาหารต่างๆได้เช่นเดียวกัน
ประโยชน์ทางยา
แง่ง รับประทานขับลมให้กระจาย
แก้ฟกช้ำบวม แก้พิษ
แง่งแก่ โขลกกับน้ำส้มมะขามเปียกและเกลือ
1 ชามแกง
ให้สตรีหลังคลอดบุตรใหม่ๆรับประทานจนหมดเป็นขาขับโลหิตเน่าในมดลูกและขับลมในลำไส้
ทั้งเป็นยาระบายอยู่ในตัว แก้พิษโลหิตดำ แก้บาดทะยักปากมดลูกด้วย ยังนิยมใช้กันมาตราบเท่าทุกวันนี้
ข่ามีรสเผ็ดปร่าเล็กน้อย แก้เลือด แก้ชา แก้เสมหะ และขับโลหิต
หากใช้ข่าอ่อนปรุงเป็นอาหาร ทำให้ขับผายลมได้ดีมาก
ต้น แก้บิดเรื้อรังชนิดตกเป็นเลือด
ใบ ทาแก้กลาก
ดอก รสเผ็ดปร่า
ทาแก้เกลื้อน
ค.
ข่าลิง (ข่าน้อย)
ข่าลิง เป็นพืชลงหัวพวกเดียวกับข่าใหญ่ ข่าตาแดง
มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ ผิดกันที่ข่าลิงมีต้น ใบ ดอก หัว
เล็กกว่าข่าทั้งสองมาก มีกลิ่นฉุนร้อนแรงกว่าข่าทั้งสองมาก ไม่นิยมใช้ปรุงอาหาร
เจริญในที่ลุ่มเป็นกอๆอย่างข่าทั้งสองมักปลูกเอาไว้ปรุงยา หรือทำแป้งเหล้า
ประโยชน์ทางยา
ต้น แก้ฝีดาษ
ใบ แก้เกลื้อนน้อยใหญ่
ดอก ขับพยาธิในลำไส้
ราก แก้พิษฝี
15.กุ่ยช่าย
ชื่อวิทยาศาสตร์
Allium tuberosum Roxb.
วงศ์ Liliaceae
ชื่อสามัญ กุ่ยช่าย (ภาคกลาง),ผักแป้น (ภาคอีสาน)
กุยช่ายเป็นพันธุ์ไม้พวกเดียวกับหญ้า ถิ่นกำเนิดในจีน
ต้นเล็กใบยาวแบน มีกลิ่นฉุนจัด ขึ้นเป็นกอ มีลำต้นอยู่ใต้ดิน
ประโยชน์ทางอาหาร
รับประทานเป็นผักกับก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ทอดไข่ผัดน้ำมันกับกุ้งแห้ง,เนื้อ ,หมูหรือตับสด แกงเลียง ต้มเลือดหมู เป็นต้น
ประโยชน์ทางยา
ใบ หั่นเป็นท่อนสั้นๆ
ต้มกับเลือดหมู จะช่วยกำจัดฝุ่นละอองที่ตกค้างตามหลอดคอ
คนงานโรงสีนิยมรับประทานแกงเลียง เป็นยาเรียกน้ำนมสำหรับหญิงลูกอ่อน
ใบ ตำโขลกคั้นกรองเอาแต่น้ำสักครึ่งแก้วเติมน้ำตาลทราย
1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมสุรา 1 เป๊ก
เป็นกระสาย รับประทานแก้ช้ำในได้ดี
ทั้งต้นทั้งใบ ตำให้ละเอียดผสมกับสุรา
ใส่สารเล็กน้อย กรองเอาน้ำ 1 ถ้วยชา
รับประทานแก้โรคนิ่วหนองใส เป็นยาขับปัสสาวะ และฆ่าเชื่อโรคในทางเดินปัสสาวะ
16.กระเทียม
ชื่อวิทยาศาสตร์
Allium sativum Linn
วงศ์
Amaryllidaceae
ชื่อสามัญ
Garlic (อังกฤษ) กระเทียม(ภาคกลาง) หอมเดียม(ภาคเหนือ) กระเทียม,หัวผักเดียม (ภาคอีสาน)
กระเทียมเป็นพืชล้มลุกลงหัวพวกหญ้า ใบแบนสีเขียวเข้ม
หนาแข็งยาวคล้ายใบว่านน้ำ ลงหัวเป็นกลีบเล็กๆเหมือนเกล็ดปลา กลีบเกาะเรียงซ้อนกัน
มีเยื่อบางๆสีขาวหุ้มหัวเป็นชั้นๆ
ดอกออกเป็นช่อเล็กๆ สีขาวปนม่วง
ติดเป็นกระจุกอยู่ปลายก้านแข็งที่แทงออกมาจากหัว เมื่อหัวแก่ได้ที่ใบสีเขียวซึ่งอยู่บนพื้นดินจะแห้งตาย
ทั้งต้นมีกลิ่นเฉพาะ
ประโยชน์ทางอาหาร
กระเทียมใช้เป็นอาหารได้ทุกส่วน ปลูกกันเป็นสินค้าทั่วโลก
ต้นสด เป็นผักชนิดหนึ่ง
ใช้ผัดรับประทานส่วนที่เป็นหัวใช้แต่งกลิ่นรสในอาหารคาว หรือกลบรสอาหาร เช่น
พวกใส่กรอก แหนม หรือน้ำพริกกะปิ
ประโยชน์ทางยา
กระเทียมมีรสร้อน เป็นยาระบาย แก้ไข้ แก้ไอ แก้รีดสีดวงงอก
และโรคผิวหนังบางอย่าง เป็นยาขับลม ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ
ใช้เป็นยาพอกทำให้ร้อน เป็นยาขับลมในลำไส้ ขับเนื้อร้าย บำรุงธาตุ ขับโลหิตระดู
แก้โรคเส้นประสาท
น้ำคั้นจากหัวกระเทียม เป็นยาหยอดหูแก้ปวดหู และหูอื้อน้ำคั้นจากกลีบกระเทียม
ใช้ทาระงับพิษแมลงกัดต่อย กลาก เกลื้อน
กลีบกระเทียม เอากลีบกระเทียมโขลกกับน้ำส้มสายชูกวาดคอและลิ้น
เป็นยาสมาน แก้คออักเสบ และเสียงแหบแห้ง
ชาวอินเดีย นำหัวกระเทียมโขลกมาสระผมแก้ผมหงอก
ชาวจีน รู้จักใช้กระเทียมเป็นยาธาตุ บำรุงร่างกาย
บำรุงความกำหนัด และถ่ายพยาธิ์มาช้านาน
แพทย์แผนโบราณ ใช้กลีบกระเทียมตำเป็นยาพอกแผลเป็นหนอง
สุมหัวเด็กแก้หวัดคัดจมูก แก้ปวดศรีษะทาถูนวด แก้อาการชักกระตุกของเด็ก
โขลกพอกกหัวเหน่าแก้ขัดเบา
น้ำคั้นจากราก รับประทานเป็นยาเบื่อและขับพยาธิ์
เปลือก รับประทานเป็นยาแก้ไข้
และชูกำลัง
ร.ศ พเยาว์ เหมือนวงศ์ญาติ ภาควิชาเภสัชคาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า
สมัยก่อนยาแผนปัจจุบันใช้น้ำคั่นจากกระเทียม
เป็นยาขับเหงื่อในคนไข้วัณโรค (ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว) ใช้เป็นยาขับเสมหะ ขับปัสสาวะ
น้ำคั้นของกระเทียมใช้ทาแก้โรคผิวหนัง
เมื่อไม่นานมานี้
ได้มีผู้บรรยายคุณสมบัติในการรักษาโรคของกระเทียมไว้มากมาย เป็นต้นว่า
สามารถรักษาโรคหวัด ท้องร่วง ขับลม ขับพยาธิ์ ฆ่าตัวอ่อนของยุง
ฆ่าเชื่อราในผิวหนัง แก้โรคแผลเปื่อยที่ริมผีปาก ซึ่งรวมความแล้วเป็นยาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติอเนกประสงค์
ทางนักวิชาการก็ได้ทำการ ค้นคว้าหาสาระสำคัญของกระเทียมแล้วพบว่า
มีน้ำหอมระเหยอยู่ และจากข่าวในวารสารล่าสุด
กระเทียมสามารถลดไขมันในเส้นเลือดได้ด้วย
จึงทำให้รู้สึกว่าคนไทยส่วนใหญ่ควรจะมีอายุยืนกว่าคนตะวันตก เพราะรับประทานอาหารเป็นสมุนไพร
ซึ่งมีสรรพคุณเอนกประสงค์เป็นประจำอยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็จะไม่เป็นโรคหลายๆ
โรคที่กล่าวไว้ข้างต้น
17.กระถินไทย
ชื่อวิทยาศาสตร์
Leucana glauca Benth
วงศ์
Mimosaccae
ชื่อสามัญ กระถินไทย,กระถินดอกขาว,กระถินหัวหงอก(ภาคกลาง),กะเสดบก(ราชบุรี),กระถิน,กระถินน้อย,กระเสด,กะเสดต้น(ภาคอีสาน),ตอเบา,ตอบ้าน,ตอแค,ตอเทศ(ภาคใต้)
กระถินเป็นไม้พุ่มขนาดย่อม ถิ่นกำเนิดทวีปอเมริกาเขตร้อน
พบเห็นทั่วไปในบ้านเรา นิยมปลูกทำรั่ว(รั่วกินได้) ใบประกอบแบบขนนกคล้ายมะขาม
ใบย่อยออกเป็นคู่มีขนาดเล็ก ช่อดอกกลางกลมเป็นฝอยนุ่ม มีขนาดเล็กสีนวล
กลิ่นหอมเล็กน้อย ผักแบนตรง ประมาณ 4-5 นิ้ว
สังเกตเห็นรูปร่างของเมล็ดนูนเป็นจุดๆ
เรียงเป็นแถวอยู่ภายในตลอดความยาวของฝักออกเป็นพวงจากปุ่มช่อดอก
เมื่อฝักแก่เต็มที่ เมล็ดจะแตกออกมาเมล็ดรูปไข่แบนสีน้ำตาล แข็งและเป็นมัน
ประโยชน์ทางอาหาร
ยอดอ่อนจิ่มน้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้า ใช้เป็นผัก(เหมือด)
ขนมจีนน้ำพริก ใบตากแห้งใช้ผสมอาหารสัตว์
ประโยชน์ทางยา
ราก ใช้ปรุงเป็นยาอายุวัฒนะ
ขับลม ขับระดูขาว บำรุงกำลัง
ใบ รสมัน บำรุงกำลัง
บำรุงเส้นเอน ทำให้แข็งแรง
ดอก รสมัน บำรุงตับ
แก้เกล็ดกระดี่ขึ้นตา
18.ดอกอัญชัน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clitorea ternatea, Linn.
วงศ์
Papilionaceae
ชื่อสามัญ
Butterfly Per (อังกฤษ) อัญชัน(ไทย)
อัญชันเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดเล็ก
ที่ปลูกเป็นไม้ประดับตามรั้วหรือซุ้มทั่วไป อัญชันมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิดคือ ชนิดดอกขาวและดอกสีน้ำเงิน ชนิดดอกสีน้ำเงินยังแบ่งออกเป็นชนิดที่มีดอกชั้นเดียว
และดอกซ้อนสองชั้น และยังมีพันธ์ทาง คือมีดอกสีน้ำเงินอ่อน
อันเกิดจากดอกขาวผสมกับดอกสีน้ำเงิน
ประโยชน์ทางอาหาร
ดอกอัญชันสีน้ำเงินใช้แต่งสีอาหารให้เป็นสีน้ำเงินหรือสีฟ้า
หรือสีน้ำเงินม่วง โดยนำกลีบดอกอัญชันสีน้ำเงินใส่ผ้าขาวบางและบีบ หรือชงน้ำร้อน
ก็จะได้สีน้ำเงิน หรือสีน้ำเงินม่วง ตามต้องการ
ประโยชน์ทางยา
เมล็ด ใช้เป็นยาระบาย
แต่มักจะทำให้เกิดอาการคลื่นเหียนอาเจียน
ราก รสเย็นชืด
ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ และเป็นยาระบายเช่นกัน แต่นิยมใช้รากของอัญชันชนิดดอกขาว
19.โหระพา
ชื่อวิทยาศาสตร์
Ocimum basilicum, Linn.
วงศ์
Labiatae
ชื่อสามัญ
Sweet Basil, Common Basil (อังกฤษ), โหระพา
(ไทย)
โหระพาเป็นพืชล้มลุกจำพวกเดียวกับกระเพราแมงลัก ลำต้นสูงไม่เกิน 1
เมตร กิ่งก้านแตกสาขาเป็นพุ่ม กิ่งอ่อนเป็นสีเหลี่ยม
ใบเล็กขนาดโตกว่าแมงลักเล็กน้อย แผ่นใบเรียบเป็นมัน ใบลำต้น และกิ่งก้านสีม่วงแดง
ใบ ลำต้น และดอกมีกลิ่นหอม ดอกออกเป็นช่อ กลีบดอกสีขาวแซมม่วง มีรูปร่างเป็น 2
ปาก กลีบดอกร่วงง่าย แต่กลีบเลี้ยงมีความคงทน แต่ละดอกของโหระพา
จะเกิดผลเล็กๆ สีดำ เมื่อแช่น้ำจะพองตัวได้ เช่นเดียวกับเมล็ดแมงลัก
ประโยชน์ทางอาหาร
ใบสดรับประทานได้เช่นผักอื่นๆ ใช้แต่งกลิ่นอาหารหลายชนิด เช่น
ลูกกวาด ซอสมะเขือเทศ ผักดองต่างๆ น้ำส้ม ไส้กรอก และเครื่องดื่มต่างๆ
เมล็ดโหระพา ใช้รับประทานเข้ากะทิเป็นของหวาน
เช่นเดียวกับเมล็ดแมงลัก
ประโยชน์ทางยา
ใบ กลิ่นหอมฉุน
ปรุงเป็นยาขับลมในลำไส้ แก้ไอ แก้ท้องอือเฟ้อ ช่วยผายลม ซึ่งอาจรับประทานเป็น ผักสดหรือทำยาชงก็ได้
ยาชงใช้เป็นยาอมกลั้วคอ สำหรับผู้ที่มีลมผายใจเน่าเหม็น
เมล็ด รสมันหอม
รับประทานแก้บิด ทำให้อุจจาระไม่เกาะติดลำไส้ ถ่ายสะดวก ใช้ปรุงยาเป็นยาแก้พิษตานทราง
แก้นอนสะดุ้งผวาในเด็กได้ดี
น้ำมัน น้ำมันหอมระเหยจากโหระพา
ใช้เป็นยาฆ่าแมลงและไล่แมลง เช่น ยุงและแมลงวัน
น้ำคั้นจากใบ
มีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึมเล็กน้อย ซึ่งจะไประงับอาการระคายเคืองในลำคอ
ดอก เมื่อสกัดด้วยน้ำหรือใบ
เมื่อสกัดด้วยแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ไปฆ่าจุลชีพบางชนิดที่ทำให้เกิดหนอง
20.สะเดา
ชื่อวิทยาศาสตร์
Azadirachta indica A. Juss., Melia azadirachta Linn., M. indiea brandis
วงศ์
Meliaceae
ชื่อสามัญ
Holytree, Pride of China, Indian Margosa Tree (อังกฤษ)
สะเดาเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใบเป็นใบรวม มีใบย่อย
จัดเรียงแบบขนนก ตั้งแต่ 2-5 คู่ ใบเล็กยาว
ริมใบเป็นจักเล็กๆดอกสีขาว มีกลิ่นหอม เป็นช่อดอกรวมซึ่งประกอบด้วยดอกเป็นจำนวนมาก
ผลค่อนข้างกลมรูปไข่ โตเท่าปลายก้อย เมื่อสุกมีสีเหลือง รสขมจัด
ประโยชน์ทางอาหาร
ใบอ่อนและดอกตูม รับประทานเป็นผักได้ดี ลวกน้ำร้อน
จิ้มน้ำปลาหวาน กับปลาดุกย่าง
ประโยชน์ทางยา
ใบ สะเดา
มีรสฝาดเย็น บำรุงไฟธาตุ (ขับน้ำย่อย) ทำให้อุจจาระละเอียด
เปลือกต้น เป็นยาขมเจริญอาหาร
แก้ไข้ ทำยาต้มใช้น้ำชะล้างบาดแผลกลาย แก้บิดมูกเลือด
กระพี้ แก้น้ำดีพิการให้คลั่งเพ้อ
แก่น แก้คลื่นเหยีนอาเจียน
ราก แก้เสมหะซึ่งเก่าแน่นอยู่ในทรวงอก
และเสมหะจุกคอ
เปลือกราก เป็นยาฝาดสมาน
แก้ไข้
ใบ เป็นยาพอกฝี
ทำยาต้ม ใช้ชะล้างแผล
ก้านใบ ปรุงยาต้มแก้ไข้ทุกชนิด
ดอก แก้พิษโลหิตกำเดา
แก้ริดสีดวงในลำคอ
ผล รสขม
แก้โรคหัวใจเต้นผิดปกติ ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ และใช้เป็นยาระบาย
ผลอ่อน ใช้ถ่ายพยาธิ
แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะพิการ
ยาง ใช้ดับพิษร้อน
21.ไพล
ชื่อวิทยาศาสตร์
Zingiber kerri, Crub.
วงศ์
Zingiberaceae
ชื่อสามัญ ไพล (ภาคกลาง), ปูเลย (ภาคเหนือ), ว่านไฟ (ภาคอีสาน)
ไพลเป็นพืชลงหัวพวกว่านหรือขิง ใบเล็กยาวลักษณะใบคล้ายกับขิงมาก
ลงหัวเป็นแง่งโตติดต่อกันเป็นพืด หัวมีสีเหลืองอมเขียว กลิ่นหอมร้อน ต้นสูงประมาณ 2
ฟุต จัดเป็นพืชล้มลุกเจริญงอกงามในฤดูฝน และแห้งตายในฤดูหนาว
คงเหลือแง่งแก่หมกอยู่ในดิน
ประโยชน์ทางยา
ใบ แก้ครั่นเนื้อครั่นตัว
ดอก กระจายเลือดอันเป็นลิ่มเป็นก้อน
ราก ปรุงยาแก้เลือดกำเดา
แก้อาเจียนเป็นโลหิต
หัว (แง่ง)
เข้ายาขับระดูประจำเดือนสตรี ฝนทาแก้ฟกบวม เคล็ดยอก
โขลกพอกบาดแผลเป็นยาสมานแผลดีมาก นำหัวไปหมกไฟ
แล้วคั้นเอาแต่น้ำรับประทานแก้โรคบิด
22.พริกไทย
ชื่อวิทยาศาสตร์
Piper nigrum Linn.
วงศ์
Piperaceae
ชื่อสามัญ
Pepper, Black pepper (อังกฤษ), พริกไทยดำ,
พริกไทยล่อน
พริกไทยเป็นไม้เลื้อยพากพันตามไม้ค้างหรือต้นไม้ชนิดอื่น
ลำต้นเป็นข้อๆ มีรากสั้นๆ
ออกตามข้อทุกข้อเกาะจับค้างหรือต้นไม้ที่เกาะอาศัยอยู่เหมือนพลู ใบเล็กรี
สีเขียวสดคล้ายใบพลู ดอกเล็กออกเป็นกระจุก มีผลกลมเล็กๆ ติดตามช่อ
ต้นตัวผู้และต้นตัวเมียแยกกันอยู่คนละต้น ผลเกาะเป็นพวงอยู่ด้อยกันแน่น
ผลพริกไทยแห้งมีเปลือกติดเรียก “พริกไทยดำ”
เมื่อเอาเปลือกออกไปแล้วเรียกว่า “พริกไทยล่อน”
ประโยชน์ทางอาหาร
พริกไทยใช้ผล (เมล็ด) เป็นเครื่องเทศแต่งกลิ่นอาหารมาช้านาน
และยังมีส่วนช่วยถนอมอาหารทำให้อาหารที่ปรุงเก็บไว้ได้นานกว่าปกติ
ประโยชน์ทางยา
ใบ แก้ลมจุกเสียดแน่น
ปวดมวนในท้อง
ดอก แก้ตาแดง
เถา แก้ท้องร่วงอย่างแรง
แก้เสมหะคั่งค้างในทรวงอก ใช้รับประทานกับยาบางขนานในฤดูหนาว แก้เมื่อยขบ แก้กษัย
เหน็บชา ยาอายุวัฒนะแทบทุกขนาน มักจะมีพริกไทยดำ, พริกไทยล่อน
เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยเสมอ
23.ผักเสี้ยน
ชื่อวิทยาศาสตร์
Gynandropsis gynandra Linn. Briq
วงศ์
Capparidaceae
ชื่อสามัญ ผักเสี้ยนผี, ผักเสี้ยนตัวเมีย
ผักเสี้ยน เป็นพืชล้มลุกมีอายุเพียงปีเดียว พบขึ้นในที่ร้างหรือ
บางท้องที่ปลูกไว้เพื่อเป็นอาหาร ใบเป็นใบรวมมีก้านยาว ซึ่งมีใบย่อย 3-5 ใบ ออกจากจุดเดียวกันกางแผ่คล้ายนิ้วมือใบย่อยแต่ละใบไม่เท่ากัน
ใบกลางใหญ่ ใบข้างเคียงเล็กลง ลำต้นและใบมีขนนิ่มๆปกคลุมดอกสียาว
ช่อดอกเป็นชนิดที่ดอกตรงกลางบานก่อน ผลเป็นฝักชูขึ้น
เมื่อฝักแก่เต็มที่จะแตกตามตะเข็บ ภายในฝักมีเมล็ดรูปไตสีน้ำตาลออกดำ
ประโยชน์ทางอาหาร
ใบ ดอก และยอดอ่อน นำมาดอกเปรี้ยว เป็นผักจิ้มน้ำพริกกะปิ
ประโยชน์ทางยา
ก้าน ใช้เป็นยาขับหนองในร่างกายทำให้หนองแห้ง
ใบ ใช้เป็นตัวยาแก้ปัสสาวะพิการ
นำใบมาบดขยี้ถูทาเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย
ทำให้เลือดมาเลี้ยงในบริเวณนั้นเพิ่มขึ้น
ใบตำพอกฝี ป้องกันมิให้เกิดหนอง
น้ำค้นจากใบผสมน้ำมะพร้าว น้ำมันถั่ว หรือนำมันงา
ใช้หยอดหูแก้อาการปวดในหู
เมล็ด ใช้เป็นยาฆ่าพยาธิ
เมล็ดแห้งแก้พิษงูกัด เมล็ดมีฤทธิ์ขับพยาธิไส้เดือน และใช้ทาภายนอกทำให้ร้อน
เมล็ดผสมกับน้ำมัน ใช้ทาผมแก้เหา ทำยาชงขับเสมหะ
ใบและเมล็ด นำมาใช้ในยาพื้นบ้าน
เพื่อทำให้อาเจียน และผิวหนังร้อนแดง เช่นเดียวกับมัสตาร์ด
ดอก ปรุงยาฆ่าเชื้อโรค
ราก ทำยาแก้โรคผอมแห้งในสตรี
(วัณโรค) เนื่องจากคลอดบุตรแล้วอยู่ไฟไม่ได้ แพทย์แผนโบราณใช้ทั้งต้นปรุงเป็นยาแก้ฝีในปอด ในลำไส้ ในตับ
เป็นยาขับหนองฝี ซึ่งเกิดขึ้นภายในทั้งสิ้น
24.เตยหอม
ชื่อวิทยาศาสตร์
Pandanus odonus
วงศ์
Pansanaceae
ชื่อสามัญ เตยหอม
เตยหอมเป็นพืชน้ำชนิดหนึ่ง ต้นเล็กใบเล็กยาว แยกออกจากโคน
ปลายใบเรียวแหลม ใบเขียวเรียบกลิ้ง ริมใบเรียบตรงไม่มีหยักหรือหนาม ใบมีกลิ่นหอม
ลักษณะการแตกกอคล้ายสับปะรด
ประโยชน์ทางอาหาร
น้ำคั้นจากใบ ปรุงแต่งอาหารให้มีสีเขียว และให้กลิ่นหอมใบเตย
ใช้ใบเตยวางใต้ก้นหวด นึ่งข้าวเหนียว
เมื่อข้าวเหนียวสุกจะมีกลิ่นหอมใบเตย น่ารับประทาน
25.ผักหนาม
ชื่อวิทยาศาสตร์
Lasia spinosa, Thw.
วงศ์
Araceae
ชื่อสามัญ ผักหนาม (ภาคกลาง),กะลี (นราธิวาส)
ผักหนามเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าใต้ดินทอกขนานไปตามพื้นดิน
ใบมีรูปร่างคล้ายหัวลูกศร หรือขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉกๆ คล้ายฟิโลเดนดรอน
มีหนามตามก้านใบก้านดอกและเส้นใบด้านล่าง ก้านใบยาวประมาณ 1 เมตร
ดอกออกเป็นช่อยาวเท่าๆกับก้านใบ ช่อดอกยาวมีดอกอัดกันแน่น ชนิดดอกสมบูรณ์เพศ
มีกาบหุ้มช่อดอกสีน้ำตาล
ม้วนบิดเป็นเกลียวตามความยาวของกาบเปิดช่องที่โคนเห็นช่อดอก ผลติดกันเป็นช่อ
เป็นเมล็ดกลมๆ สีเขียว ดูคล้ายฝักข้าวโพด
ผักหนามชอบขึ้นตามดินเลนและริมคู คลอง หนอง บึง
ประโยชน์ทางอาหาร
ยอดอ่อนดองเปรี้ยวจิ้มน้ำพริก
ประโยชน์ทางยา
ใบอ่อน แก้ปวดท้อง
แก้ไอ
เหง้า ใช้เป็นยาขับเสมหะ
ต้มเอาน้ำอาบ แก้คันตามตัว ซึ่งเกิดเพราะพิษไข้หวัด และโรคผิวหนัง
ราก ต้มน้ำใช้อาบเด็กที่เพิ่งเกิด
แก้เจ็บคอ
26.ทองหลาง
ชื่อวิทยาศาสตร์
Eruthrina orientalis, Linn.
วงศ์
Leguminosae
ชื่อสามัญ ทองหลาง, ทองหลางใบมน, ทองหลางด่าง
ทองหลางเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใบโตหนาก้านหนึ่งๆมีใบย่อม 3
ใบ คล้ายพวกใบถั่ว ตามต้นและกิ่งมีหนามเล็กๆแหลมคม ดอกออกเป็นช่อแน่นคล้ายแคแดง
มีสีแดงเข้มงามสะดุดตา ดอกออกเวลาทิ้งใบ
ประโยชน์ทางอาหาร
ใบค่อนข้างอ่อน (ใบเพสลาด) รับประทานเป็นผักกับเมี่ยงคำ
เมี่ยงปลาทู ฯลฯ
ประโยชน์ทางยา
ใบและเปลือกของต้นทองหลาง มีรสเฝื่อนเอียน
แก้เสมหะและลมเป็นลมพิษ
27.ถั่วพู
ชื่อวิทยาศาสตร์
Psophocarpus tetragonlobus, DC
วงศ์
Leguminosae
ชื่อสามัญ ถั่วพู
ถั่วพูเป็นไม้เถาเลื้อย ใบเขียว ปลายใบแหลม มีใบย่อย 3 ใบ ดอกสีม่วง ฝักเป็นเหลี่ยม มีปีกออกทั้ง 4 ด้าน
ผักยาวประมาณ 3-4 นิ้วฟุต บางพันธุ์ (พันธุ์ตะขาบ) ยาวถึง 18
นิ้วฟุต ชอบขึ้นตามที่ลุ่มดินชื้นแฉะ ปลูกกันตามสวนทั่วๆไป
ประโยชน์ทางอาหาร
ฝักอ่อน รับประทานเป็นอาหารผัด ฝักสดใช้จิ้มน้ำพริก ผัด
ใส่ทอดมัน และใส่แกงเผ็ด
ประโยชน์ทางยา
หัวถั่วพู รับประทานเป็นยาบำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย หิวโหย
ทำให้ดวงจิตชุ่มชื่น มีรสขื่นเล็กน้อย
น้ำคั่นจากหัว เป็นยาระบาย
หัวถั่วพูตากแห้ง หั่นคั่วไฟเหลืองหอม ชงน้ำดื่ม
เป็นยาบำรุงกำลังของคนป่วยหนัก แก้อ่อนเพลียได้ดี
28.คื่นไฉ่
ชื่อวิทยาศาสตร์
Apium graveolens Linn.
วงศ์
Umbelliferae
ชื่อสามัญ
Celery, Smaltage (อังกฤษ)
คึ่นไฉ่ เป็นพืชพื้นเมืองของยุโรปตอนใต้ ได้นำมาปลูกในยุโรป
อเมริกา และเอเชีย ชอบขึ้นในดินเค็ม เป็นพืชล้มลุกอยู่ได้ 2 ปี
ใบออกตรงกันข้าม ก้านใบยาว ขอบใบหยักเว้าแบบซี่ฟัน ดอกสีขาว
ช่อดอกเป็นแบบซี่ร่มซ้อน ทั้งต้นมีกลิ่นหอมผลมีขนาดเล็ก และเป็นสันสีน้ำตาล
ประโยชน์ทางอาหาร
รับประทานทั้งต้นและใบเช่นอาหารอื่นๆ ใช้แต่งกลิ่นอาหารบางชนิด
โดยเฉพาะใช้ดับกลิ่นคาวปลาและเนื้อ
ประโยชน์ทางยา
ต้น มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
ขับลมให้ผาย แก้ลมขึ้นสู่เบื้องสูง แก้แน่นอาเจียน ลดความดันโลหิตสูง
น้ำคั้นจากต้นคึ่นไฉ่ ใช้แก้อาการบวมน้ำ โรคปวดตามข้อ
เนื่องจากไขข้ออักเสบ หรือน้ำหนักตัวมากผิดปกติ ขับปัสสาวะ
แต่ไม่ควรใช้ในคนที่เป็นโรคไต
เมล็ด มีฤทธิ์ขับลมและเป็นยาระงับ
29.ขิง
ชื่อวิทยาศาสตร์
Zingiber officinalis Roscoe
วงศ์
Zingiberaceae
ชื่อสามัญ
Ginger(อังกฤษ) ขิงบ้าน (ไทย)
ขิงเป็นพืชล้มลุก ลงหัว พวกเดียวกับไพลกระทือต้นและใบคล้ายไพลมาก
ลงหัวเป็นแง่งติดต่อไป ออกดอกเป็นตุ้มกลมคล้ายดอกไพล
ที่ตุ้มมีกลีบเลี้ยงหุ้มคล้ายเกล็ดปลา มีดอกแทรกแซงออกตามกลีบเลี้ยงเหล่านั้น
เป็นสีเหลืองน่าดู เจริญงอกงามทางใบในฤดูฝน และทรุดโทรมเหี่ยวเฉาในฤดูแล้ง
(ฤดูหนาวต่อฤดูร้อน) แง่งขิงจะแตกสาขาพักตัวอยู่ในดิน มีกลิ่นหอมและรสเผ็ด
ประโยชน์ทางอาหาร
ขิงที่นำมาใช้ปรุงอาหาร
นิยมใช้ทั้งสดและแห้งอาหารบางชนิดนิยมใช้แง่งขิงที่ยังอ่อนอยู่
เพราะไม่ต้องการให้มีรสเผ็ดร้อนมาก เช่น ไก่ผัดขิง ขิงยำ ขิงดองเปรี้ยว ดองเค็ม
ฯลฯ แต่บางชนิดก็ใช้ขิงแก่ เช่น น้ำเชื่อมที่ใส่เต้าฮวย หรือน้ำขิงที่ต้มเป็นเครื่องดื่ม
ขิงถ้าใช้ในการปรุงอาหารเพื่อแต่งกลิ่นแต่งรสของอาหาร
จัดเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่ง
ประโยชน์ทางยา
ราก ต้มรับประทาน
ทำให้คอโปร่ง เจริญอาหารและเป็นยาอายุวัฒนะ แก้โรคปากเปื่อย บำรุงไฟธาตุ แก้เสมหะ
ขับผายลม ทำให้ลำไส้มีกำลังย่อยอาหาร ทำให้ผิวหนังสดชื่น ฆ่าพยาธิพรรคดึก แก้แน่น
แก้บิด แก้อุจจาระดำ
แง่ง ต้มรับประทานแก้ปวดท้อง
บำรุงธาตุ ขับลมในลำไส้ ทำให้ผายลมและเรอ
ต้น (มัดของกาบใบ)
ใช้เป็นยาสะกดลมลงสู่ทวาร ทำให้ผายลม แก้นิ่ว แก้น้ำเบาหยดย้อย
(ปัสสาวะกระปริบกระปรอย)
ใบ ใช้เป็นยาห้ามเลือดกำเดา
แก้ตาเปียกแฉะ
ดอก ใช้เป็นยาแก้โรคดวงใจขุ่นหมอง
(โรคเกี่ยวกับหัวใจ)
30.ขี้เหล็กบ้าน
ชื่อวิทยาศาสตร์
Cassia siamensin Lank.(C.florida Vahl.)
วงศ์
Caesalpiniaceae
ชื่อสามัญ
Siam Cassia (อังกฤษ) ขี้เหล็ก,ขี้เหล็กใหญ่(ภาคกลาง)
ขี้เหล็กหลวง ขี้เหล็กบ้าน(ภาคเหนือ-ภาคอีสาน)
ขี้เหล็กบ้านเป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ใบดกหนาทึบ
ลักษณะคล้ายใบชุมเห็ดเทศไทย ใบเป็นใบรวมซึ่งประกอบด้วยใบย่อยประมาณ 20 ใบ ดอกสีเหลืองเป็นช่อดกฝักแบนอวบ ยาวประมาณ 15 ซ.ม.
เป็นพืชที่พบอยู่ทั่วไป ชอบขึ้นในป่าชื้น และริมคลองทั่วๆไปทุกภาค
ประโยชน์ทางอาหาร
ดอกตูมและใบอ่อนๆรับประทานเป็นอาหารผักชาวบ้านนำมาแกงใส่กะทิ
เรียกว่า “แกงขี้เหล็ก” การนำใบอ่อนและดอกมาแกง
จะต้องลวกน้ำทิ้งเสียก่อน มิฉะนั้นรสจะขม
ประโยชน์ทางยา
ใบ รสขมขื่น
แก้ระดูขาวตกหนัก แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ ใบร้อน ตำพวกขา แก้เหน็บชา ขาบวม ถอนพิษ
ดอก รสขม แก้โรคเส้นประสาทที่ทำให้นอนไม่หลับ
แก้หืด ล้างศรีษะแก้รังแค ใบอ่อนและดอกตูมเป็นยาระบายอ่อนๆ
เปลือก รสขม
แก้ริดสีดวง
กระพี้ รสขม
แก้พิษร้อนกระสับกระส่าย
แก่น รสขม
แก้ธาตุพิการ ทำให้ตัวเย็นชืด แก้เหน็บชา แก้กามโรค แก้หนองใน แก้กระสายถ่ายเส้น
ถ่ายม้ามย่อย
ราก รสขม แก้ไข้กลับ
ไข้ซ้ำ ถอนพิษผิดสำแดง
ขี้เหล็กทั้งห้า (ต้น
ราก ลูก ดอก ใบ ) รวมกันรับประทานเป็นยาถ่าย พิษกษัย พิษไข้ พิษเสมหะ พิษ
31.ขมิ้นชัน
ชื่อวิทยาศาสตร์
Curcuma longa Linn.
วงศ์
Zingiberaceae
ชื่อสามัญ ขมิ้น, ขมิ้นชัน,ขมิ้นทอง,อังกอนหัว,ขมิ้นไข,ขมิ้นหัว,ขี้มิ่น,ขมิ้นไข
ขมิ้นชันเป็นพืชล้มลุกที่มีเหง้าสีเหลืองเข้มใบคล้ายกับใบกระชายและโตกว่า
ย่างเข้าฤดูแล้งใบจะแห้ง ต่อเมื่อฝนตกชุก ใบจะงอกขึ้นมาใหม่ ตลอดฤดูแล้ง
(ฤดูหนาว-ฤดูร้อน) เหง้าจะฝังอยู่ใต้ดิน
ประโยชน์ทางอาหาร
เหง้าใช้ทั้งสดและแห้ง เหง้าแห้งนิยมป่นเป็นผง
ในเหง้าขมิ้นชันมีน้ำมันหอมระเหย และสารสีเหลือง ใช้แต่งสีในอาหารหลายชนิด
เพื่อให้มีสีเหลือง เช่นหมกไก่ แกงเหลือง แกงกะหรี่ ข้าวเหนียวเหลือง และมัสตาร์ด
ประโยชน์ทางยา
เหง้าขมิ้นชัน จากแห้งป่นเป็นผงใช้ทาตัว แก้โรคผิวหนัง
หรือหุงในน้ำมะพร้าวเป็นยาสมานแผล
เหง้าสด รับประทานเป็นยาคุมธาตุ แก้ท้องร่วง ธาตุพิการ
แก้ไข้ผอมเหลือง แก้โรคผิวหนัง แก้เสมหะ แก้พิษโลหิต แก้ท้องร่วง
ขยี้เหง้าดมแก้หวัด น้ำจากเหง้าใช้หยอดตา ทำให้เย็นสบาย แก้ตาบวม
ขับผายลม แก้ไข้ท้องมาน ผสมกับปูนแดงทาแก้ฟกช้ำดำเขียว
32.กระเพรา
ชื่อวิทยาศาสตร์
Ocimum sanctum Linn.
วงศ์
Labiatae
ชื่อสามัญ
Holy Basil, Sacred Basil (อังกฤษ)
กะเพราแดง (ภาคกลาง) กอมก้อ (ภาคเหนือ) ผักอีตู่ไทย(ภาคอีสาน)
กะเพราเป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงประมาณ 3-4 ฟุต
ส่วนโคนเป็นไม้เนื้อแข็ง ส่วนยอดเป็นไม้เนื้ออ่อน ลำต้นและใบใขน
(ส่วนที่ยังอ่อนจะมีขนปกคลุมมากกว่าส่วนที่แก่แล้ว) ใบออกตรงกันข้าม ปลายใบแหลม
กิ่งเป็นสี่เหลี่ยม ดอกเป็นช่อตั้งขึ้นไปเป็นชั้นๆ คล้ายฉัตร ดอกคล้ายโหระพา
หรือแมงลัก
ที่ปลูกในบ้านเรามี 2 ชนิด คือ กะเพราขาว
ลำต้น และใบมีสีเขียว และกะเพราแดง ลำต้นและใบมีสีแดงม่วง พบเห็นทั่วๆไป
ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด
ประโยชน์ทางอาหาร
ใบใช้แต่งกลิ่นอาหารไทยหลายชนิด เช่น แก่งป่า ผัดเผ็ด ฯลฯ
ประโยชน์ทางยา
เป็นยาตั้งธาตุ แก้ปวดท้อง ท้องขึ้น แก้ลม ขับผายลม
แก้จุกเสียดแน่นในท้อง เหมาะสำหรับโรคของเด็กอย่างยิ่ง ถ้าปรุงเป็นผงใช้ใบ ถ้าปรุงเป็นยาต้มใช้ทั้งก้านทั้งใบ
ในชะวาใช้ใบปรุงอาหารรับประทานเพื่อขับน้ำนม
คนไทยในชนบทนิยมรับประทาน แกงเลียงในกะเพราหลังคลอดบุตรเพื่อขับลม
บำรุงธาตุให้ปกติ น้ำคั้นจากใบมีฤทธิ์ขับเหงื่อ ขับเสมหะ ใช้ทาภายนอก แก้ขี้กลาก
เป็นโรคผิวหนัง
ราก ทำยาชง
แก้ธาตุไม่ปกติ และแก้ไข้
เมล็ด เมื่อถูกน้ำพองเป็นเมือก
ใช้ผสมกับน้ำพอกที่ตาเวลาผงเข้าตา กล่าวกันว่า สามารถจะเขี่ยผงที่ตาให้ออกมาได้
ใบ น้ำมันหอมระเหยจากใบ
มีคุณสมบัติฆ่าเชื่อจุลินทรีย์ และฆ่าแมลงได้
ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื่อโรคบางชนิด น้ำมันกะเพรามีฤทธิ์ฆ่ายุงได้
เด็กอ่อนแรกเกิดในชนบท นิยมใช้ใบกะเพราสด 4-5 ใบ แทรกเกลือเล็กน้อย (1-2 เม็ด)
บกกับผาละมีหรือโกร่งบดยาจนละเอียด ละลายน้ำสุกเจือน้ำผึ้งหยอดในปากเด็กแรกคลอด
เป็นยาถ่ายขี้เทา และช่วยผายลมได้ดีมาก
33.กระทือ
ชื่อวิทยาศาสตร์
Zingber zerumbet Rose. Ex Smith
วงศ์
Zingiberaceae
ชื่อสามัญ กระทือบ้าน (ภาคกลาง) กระแอน,แฮวดำ,เอียวดำ(ภาคเหนือ)
กระทือเป็นพืชล้มลุกลงหัว จำพวก ขิง ข่า ไพล ขมิ้น
ใบออกตรงข้ามสลับตั้งฉากกัน ใบยาวเรียวเขียวดกหนาทึบ
ซ้อนกันเป็นแผงติดต่อกันไปยืดยาว ช่อดอกโผล่ขึ้นจากหัวใต้ดิน
ช่อดอกเป็นก้านยาวและเป็นปุ่ม ตอนปลายประกอบด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียวปนแดงจำนวนมาก
ดอกสีขาวนวลมีลักษณะเป็นหลอด ที่ปลายกลีบมีรูปร่างเหมือนปากอ้า ถึงฤดูแล้ว
ส่วนของต้น คือมัดของกาบใบ ใบและดอกจะโทรม
ย่างเข้าฤดูฝนจะโผล่ขึ้นมาใหม่จากหัวใต้ดิน หัวมีขนาดใหญ่เป็นแง่งสีเหลืองอ่อน
มีเส้นเล็กๆรสขมและขื่นเล็กน้อย มีกลิ่นหอม เป็นไม้ปลูกง่าย
ปลูกกันตามบ้านเรือนทั่วไป
ประโยชน์ทางอาหาร
แง่งหั่นขยำกับน้ำเกลือนานๆ รับประทานเป็นอาหารได้
ใส่แกงปลาไหลดับกลิ่นคาว
ประโยชน์ทางยา
แง่ง ใช้ขับลม บำรุงธาตุ บำรุงให้เกิดน้ำนม แก้บิด ขับลมผาย
ขับปัสสาวะ
แง่งกระทือเผาไฟให้สุกรับประทานกับน้ำปูนใส แก้บิด ปวดเบ่ง
เสมหะเป็นพิษ แก้แน่น กล่อมอาจม
กระทือป่า แรงกว่า ใช้ขับน้ำย่อย แก้จุกเสียด ดีกว่ากระทือบ้าน
ต้น แก้เบื่ออาหาร
ใบ ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ
ดอก แก้ไข้เรื้อผอมเหลือง
ราก แก้ไข้ตัวเย็น
34.กระชาย
ชื่อวิทยาศาสตร์
Gastrochilus panduratus, Ridl
วงศ์
Zingiberaceae
ชื่อสามัญ กระชาย ,โสมไทย
กระชายเป็นพืชล้มลุกหัว เช่นเดียวกับขึง ข่า ขมิ้น ไพล มีลำต้น
มัดของกาบใบโผล่ขึ้นเหนือดิน แตกเป็นใบคล้ายใบขมิ้น สูงจากพื้นดินประมาณ 1 ฟุต ดอกสีม่วงแดงออกตรงยอด หน่อแตกและโผล่ขึ้นเหนือดินรอบๆหัว
มีรากฝอยที่เก็บสะสมอาหาร รูปร่างเรียวหัวท้าย ยาว 2-3 นิ้ว
โตขนาดปลายนิ้วก้อย อยู่รวมกันเป็นกระจุก (เป็นพวง) เรียกว่า “รากพวง”
ประโยชน์ทางอาหาร
กระชายมีปลูกทั่วไป ที่ใช้ประกอบอาหารมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ กระชายเหลือง กระชายแดง และ กระชายดำ
นิยมใช้กระชายเหลืองและแดงมากกว่ากระชายดำ
รากกระชายมีคุณสมบัติดับกลิ่นคาวปลาได้ดี
ด้วยเหตุนี้ น้ำยา (ขนมจีน) ห่อหมก แกงป่า(ปลา) ผัดเผ็ด(ปลาไหล,ปลาดุก) ปลาร้าหลน กะปิคั่ว แกงขี้เหล็ก ฯลฯ จึงขาดรากกระชายไม่ได้
หน่อกระชายใช้เป็นผักจิ่ม
ยำกับกุ้งแห้ง แก้เบื่ออาหาร
ประโยชน์ทางยา
กระชายมีรสเผ็ดร้อนขม แก้โรคในปาก แก้ปากเปื่อย ปากแห้ง ปากแตก
ปากเป็นแผล ขับระดูขาว แก้ใจสั่นหวิว
ราก(หัว) แก่ๆ
หั่นเป็นแว่นบางๆ ตากแห้งชงกับน้ำร้อนแทนใบชาแก้ลมวิงเวียน หน้ามืด ตามัว
แก้สวิงสวายได้ชงัด ใช้แก้ปวดเมื่อยปวดมวนในท้อง
แพทย์แผนโบราณ ใช้รากกระชายปรุงยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ
รากกระชาย เผาไฟฝนกับน้ำปูนใสรับประทานเป็นยาแก้บิด
ขับปัสสาวะ ขับระดูขาว บำรุงกำลัง
หน่อที่แยกจากหัวต้นรวมกับต้นขัดมอนดื่มต่างน้ำชา
เป็นยาบำรุงกำหนัด แก้กามตายต้าน มีคุณสมบัติคล้ายโสมจีน ลางที่เรียกว่า “โสมไทย”
35.ตะไคร้
ชื่อวิทยาศาสตร์
Cambopogen citrates, Stapf.
วงศ์
Gramineae
ชื่อสามัญ ตะไคร้ (ภาคกลาง), เยียงเฮื้อ (ภาคเหนือ), หัวสีไค (ภาคอีสาน)
เป็นพืชล้มลุกแตกกอ ใบยาวเรียวสากควายคล้ายใบข้าว
ลำต้นทอดนอนอยู่ในดิน ตะไคร้ขึ้นง่ายเจริญงอกงามในดินแทบทุกชนิด
ประโยชน์ทางอาหาร
อาหารไทยหลายชนิดใช้ตะไคร้เป็นเครื่องปรุงรส เช่น ผัดเผ็ด
แกงเผ็ด ต้มยำ พล่า ยำ ต้มโคล้ง ต้มเนื้อ เป็นต้น
ประโยชน์ทางยา
ตะไคร้มีกลิ่นหอม รสปร่า แก้กลิ่นคาวและแก้เบื่ออาหาร
บำรุงไฟธาตุให้เจริญ แก้โรคทางปัสสาวะ (แก้กษัย) ขับประจำเดือน ขับระดูขาว
ขับลมในลำไส้ ทำให้เจริญอาหาร
แพทย์แผนโบราณ ใช้หัวตะไคร้ (ลำต้นที่ทอดนอนอยู่ใต้ดิน)
หั่นเป็นแว่นๆคั่นจนเหลือง ชงน้ำรับประทานเป็นยาแก้ปัสสาวะขัด แก้นิ่ว และน้ำเบา
(ปัสสาวะ) พิการได้ดี
36.ชะพลู
ชื่อวิทยาศาสตร์
Piper sarmentosum, Roxb.
วงศ์
Piperaceae
ชื่อสามัญ ชะพลู (ภาคกลาง) พลูลิง, ผักอีไร (ภาคเหนือ),
ผักอีเลิด (ภาคอีสาน)
ชะพลูเป็นไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง มักจะขึ้นเป็นกลุ่มข้างสำธาร
ตามพื้นที่ลุ่มแฉะ แต่คนได้นำมาปลูกทั่วไปตามบ้านต้นสูงประมาณ 2 ฟุต ลำต้นเป็นข้อๆ ใบขนาดย่อมสีเขียวเข้มเป็นมัน ลักษณะคล้ายใบพลู
ดอกสีขาวนวล
ประโยชน์ทางอาหาร
ใบมีกลิ่นฉุนเล็กน้อย รับประทานได้สดๆ เป็นผักจิ้มชนิดหนึ่ง
จะลวกให้สุกก็ได้ บางคนนิยมใส่แกง ใบรับประทานกับเมี่ยงคำ ส้มตำ หั่นฝอยใส่แกงคั่นหอยขม
ประโยชน์ทางยา
ใบ รสเผ็ด
ทำให้เสมหะงวดแห้ง
ต้น รสเผ็ดเล็กน้อย
แก้เสมหะในทรวงอก
ราก ขับเสมหะให้ตกทางอุจจาระ
ผล รสเผ็ดเล็กน้อย
ขับเสมหะในลำคอ